เทศน์พระ

ลด-ละ

๓o ก.ค. ๒๕๕๔

 

ลด-ละ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ เพราะกาลเวลาล่วงไปๆ ตั้งแต่บวชมา เห็นไหม นี่ ๑ ปักษ์ ถ้า ๖ ปักษ์ก็ออกพรรษา กาลเวลากลืนกินทุกๆ อย่าง วันเวลาล่วงไปๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติ เวลาเราคุยกันสัพเพเหระ เวลาเราคุยกันมันเป็นปฏิสันถาร มันเป็นการปรึกษาหารือ แต่เวลาฟังเทศน์ มันเจาะเข้าหัวใจเราเลยนะ

หน้าที่ของเรา เราบวชมานี้เราหวังอะไร เวลาเราศึกษาธรรมะ เราหวังการพ้นทุกข์ พุทธศาสนานี่มหัศจรรย์ พุทธศาสนาสอนเข้ามาสู่ที่ใจ พุทธศาสนาสอนให้คนพ้นจากทุกข์ได้ เราก็อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอยากไป แต่เวลาเราบวชมาแล้ว ทำไมเราปล่อยให้วันเวลามันล่วงไปล่ะ ทำไมเราไม่มีความเข้มแข็ง ทำไมไม่มีความจริงจัง ทำไมไม่มีการกระทำ

เวลาเราบอกว่าเราเป็นคนดี เรามีความสามารถทุกๆ อย่าง แต่ทำไมเราเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ เวลาประพฤติปฏิบัติ ทำไมมันไม่เป็นความจริงขึ้นมา เวลาไฟ เห็นไหม ไฟเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น เวลาไฟนะ เวลาไฟเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น ดูไฟป่าสิ ตอนนี้โลกร้อน ไฟป่า เวลามันติดขึ้นมา มันไหม้ข้ามรัฐเลย ป่าเขานี่มันไหม้หมดเลย เพราะอากาศ ความร้อน ความชื้น ออกซิเจน ต่างๆ นี้มันเป็นสิ่งเร้าให้ไฟนั้นไหม้ไปทั้งหมดเลย

ไฟเกิดที่ไหน? ไฟเกิดที่ใจ เกิดความรุ่มร้อนในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเรารุ่มร้อน เราต้องดับที่ใจของเรา จะดับที่ใจของเรา ดับที่ไหนล่ะ? ถ้าจุดเทียน ดับเทียน เทียนก็ดับ จุดไฟที่ไหนมีเชื้อ เราดับไฟ ไฟก็ดับ แต่เวลาไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดที่ใจ เราดับมันที่ไหน? เราดับอย่างไร? อาบน้ำมันก็แค่ผิวหนัง ไปอยู่ในห้องแอร์ มันก็แค่อุณหภูมิ มันจะไปดับที่ไหน? มันดับไม่ได้เลย! มันดับไม่ได้เลย!

เวลาศึกษาธรรมะ ธรรมะบอก เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณ ธุดงควัตร เป็นการขัดเกลา เป็นการชำระ เป็นการถอดถอน แล้วมันถอดถอนจริงหรือเปล่า ถ้ามันถอดถอน มันถอดถอนอย่างใด ดูสิ เวลาเขาทำไร่ไถนา เวลาเขาหว่านกล้า เขาถอนกล้านะ เขามัดกล้า เขาไปพรวนดิน เขาเตรียมไปดำนา เขามีที่ทำของเขา เขาทำของเขาแล้วเขาได้ประโยชน์ของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกันจะชำระกิเลส แล้วจะชำระกิเลสที่ไหน ไฟเกิดที่ไหน แล้วจะไปดับไฟ ไปดับที่ไหน ถ้าไฟมันเกิดที่ใจ ไฟมันเกิด โทสัคคินา โมหัคคินา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดขึ้นมา ดูสิ เวลาไฟมันติดขึ้นมา ถ้าไปที่อับชื้น ไปที่ไม่มีออกซิเจนนะ จุดเท่าไรไฟก็ไม่ติดนะ ไฟติดไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีออกซิเจน ไฟติดไม่ได้ แต่นี่เวลามันร้อนขึ้นมา มันร้อนกลางหัวอก มันติดขึ้นมาได้อย่างไร มันอยู่ที่ไหน แล้วมันเผาลนอยู่นี่ มันเผาอย่างไร มันเผาอยู่นี่ เห็นไหม

ถ้าพูดถึง เวลาเด็ก เวลาโดยทั่วไป เทศกาลงานประจำปีของเขา คนมีความสนุก ความครึกครื้น ความรื่นเริง ยิ่งมีมหรสพสมโภชนะ ยิ่งมีความเพลิดเพลิน เวลาจิตใจเราปล่อยมันตามสบาย จะเป็นคนดีทั้งนั้น แต่ถ้าลองปล่อยไม่มีกติกานะ คนอยู่ได้โดยความสบายใจ ลองมีกติกาขึ้นมาสิ อีก ๗ วันตาย ไปหาหมอ หมอบอกว่า “ไม่เกิน ๗ วันต้องตาย” ๗ วันนี้มันจะมีคุณค่ามากเลย แต่นี่ไม่มีกำหนดเวลาไง ปล่อยไปเรื่อยเฉื่อย ชีวิตนี้จะค้ำฟ้า จะอยู่ไปอีก ๕๐๐ ชาติ จะทำอะไรก็ทำสักแต่ว่า ผัดวันประกันพรุ่ง แต่พอควบคุมมัน มันอึดอัดขัดข้องหมดเลย สิ่งที่มันอึดอัดขัดข้องเพราะเหตุใด อึดอัดขัดข้องเพราะเรามีความตั้งใจ

อธิษฐานบารมีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอัครสาวก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เห็นอัครสาวก มีความชื่นชมมากเลย อธิษฐานว่าอยากเป็นอัครสาวก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ อธิษฐานเลย เวลาเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากจะเป็น อธิษฐาน ตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสมบุญญาธิการมา สร้างมาทั้งนั้น ทำมา สร้างมา ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ เขาได้สร้างสมบุญญาธิการของเขามา เขาทำของเขามา สิ่งที่ทำมา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง นี่เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาเพื่อทำไม เราปฏิบัติเพื่อเหตุใด เพราะเราเห็นไง เราเห็น เรารู้

เวลาเขาพูดกัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “สุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” เราก็อยากจิตสงบ อยากจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ก็อยากอยู่นั่นล่ะ เพราะมีความอยาก พอมีความอยากถึงมีการกระทำ ถ้าปล่อยกันตามธรรมชาติ ปล่อยกันตามสบาย มันก็สะดวกสบายมันอย่างนั้น เวลามีขีดจำกัดไง มีขีด มีข้อปฏิบัติขึ้นมา ขีดขึ้นมา มีศีลขึ้นมา ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐

เวลาถือศีลก็ถือศีล ๕ เวลาพระถือศีล ๒๒๗ เวลาถือศีลขึ้นมา ศีลมากขึ้น คำว่า “ศีลมากขึ้น” กติกามากขึ้น ข้อควรระวังมากขึ้น แต่จริงๆ ก็คือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกตินะ ศีลตัวเดียว รักษาใจเท่านั้น ถ้ารักษาใจ จะไม่มีเจตนา จะไม่มีการทำชั่วสิ่งใดเลย แต่นี่มันแกล้งไง ไม่เจตนา แต่อยากได้ ไม่เจตนา แต่ฝืนทำ

เวลาเราเข้าทางจงกรมนะ เวลาทำสิ่งใดผิด เราจะทบทวนของเรา เวลาเราเข้าทางจงกรม คอตกนะ “ทำไมเราขาดสติ” เราทำสิ่งนั้นขึ้นมาเพื่อเหตุใด ทำสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วมันก็สร้างเวรสร้างกรรม สิ่งใดที่กระทบกระเทือนไปแล้วมันไม่มีเวรมีกรรม ไม่มีหรอก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “การชนะตนเองประเสริฐที่สุด” การชนะข้าศึก คูณด้วยล้านคูณด้วยพัน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราทำสิ่งใดไป มันมีเวรมีกรรมทั้งนั้น สิ่งที่กระทบกระเทือน เวลาเราเป็นพระป่ากัน เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เราจะขอโอกาส เราจะทำอะไรไม่ให้กระทบกระเทือน เพราะเราไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรม อยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าสิ่งใดมันเป็นเวรเป็นกรรม เราขอขมาลาโทษ เพราะอะไร เพราะเราสำนึก เราเห็นว่ามันเป็นภัย สิ่งที่เป็นภัย แต่ถ้าเป็นอุปัฏฐาก เวลาทำเพื่อประโยชน์กับเรา สร้างบุญกุศล

เราอยู่กับหลวงตานะ เวลาบิณฑบาตมา ใครๆ ก็อยากจะรับบาตรท่าน บาตรของท่าน เวลาเขารับมาแล้ว พระเขาขอกันคนละสัก ๕ เมตร ๑๐ เมตร เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์กับตนเองไง

เราทำอุปัฏฐาก เราทำกับครูบาอาจารย์ที่เรามั่นใจว่าท่านมีคุณธรรม ถ้าท่านมีคุณธรรม มันจะส่งเสริมเป็นบุญกุศล เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องการบุญกุศลนั้นมาเจือจานเรา เราหวังดีทั้งนั้น ฉะนั้นเวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ เราจะไม่อยู่ที่สูงกว่า เราจะทำอะไร เวลาพูดก็ขอโอกาสก่อน เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมไง มันเป็นเวรเป็นกรรม เราถึงไม่ทำกัน เพราะเรารู้ถูกรู้ผิด เพราะมีสติ อันนี้ก็เหมือนกัน เพราะเราจะลดจะละ เราจะลดจะละกิเลส เราถึงควบคุมใจ เพราะเราจะลดจะละ เรามาควบคุม มันก็เกิดการบีบคั้น พอเกิดการบีบคั้น มันก็เกิดการอึดอัด พอเกิดการอึดอัด มันก็เกิดการฟาดงวงฟาดงา

หัวใจเรานี้กิเลสมันฟาดงวงฟาดงานะ ดูสิ หางจระเข้ มันใช้หางฟาด เวลามันฟาดใส่หน้าผาก กิเลสมันฟาดใส่หน้าผากเรา เรายังไม่รู้ตัว ไม่รู้นะว่ากิเลสมันฟาดใส่ ถ้ากิเลสมันฟาดใส่ เราต้องตั้งสติแล้ว

ที่เขาพยายามมักน้อยสันโดษ เขาพยายามจะไม่พูดไม่คุยเพราะเหตุนี้ไง ควบคุมๆ ต้องควบคุม ทีนี้พอเกิดการควบคุมขึ้นมา เราจะลดจะละต่างหากล่ะ มันถึงเกิดการต่อต้าน จิตใจที่อึดอัดขัดข้องอยู่นี่ ก็เพราะเราจะลดจะละมัน ถ้าจิตใจเราไม่ลดไม่ละมันนะ มันปล่อยตามสบาย นอกพรรษา พระอยู่กันด้วยความปกติสุขนะ พอเข้าพรรษานะ เอาแล้ว “โอ้.. ไปนู่นก็ไม่ได้ ไปนี่ก็ไม่ได้นะ” พอโดนจำกัดวงเท่านั้น กิเลสมันโดนจำกัดวง มันหาทางดิ้นแล้ว แต่ถ้าเปิดให้มันอยู่สะดวกสบายนะ โอ้โฮ.. มันสบายใจเลย มันสบายใจ

เพราะเราจะลดจะละ มันถึงเกิดความอึดอัดขัดข้อง แต่เพราะมันอึดอัดขัดข้อง ถ้าเราทำจนคุ้นชิน เวลาเราทำบุญกุศล เราสวดมนต์สวดพร ถ้าเราทำจนคุ้นชิน ถ้าเราทำทุกวันๆ แล้วถ้าไม่ทำ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป มันเหมือนแปลกๆ เลย เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราทำจนเป็นนิสัย นี่ก็เหมือนกัน มันอึดอัดขัดข้อง แต่เราทำของเราไปนะ เราจะเห็นคุณประโยชน์

เราเชื่อมั่นนะ เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำของท่านมา ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา เราต้องทำได้ ถ้าเราทำได้ คนเรานะ เส้นทางๆ หนึ่ง ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์แรกที่ผ่านเส้นทางนี้ไป แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็เดินผ่านเส้นทางนี้ไป เราไม่เชื่อมั่นเส้นทางนี้หรือ เราคิดว่าเส้นทางนี้เราจะเดินไปไม่ได้หรือ ทำไมครูบาอาจารย์ของเราท่านเดินผ่านไปแล้วล่ะ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเดินผ่านไป เราก็ต้องเดินผ่านไปได้! ถ้าเราเดินผ่านไปได้ เราก็ต้องตั้งสติของเรา มันเดินผ่านไปด้วยกิริยาของใจนะ ไม่ใช่เดินผ่านไปด้วยเท้า

เท้า เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ก็เพื่อความสงบของใจ พอใจมันสงบขึ้นมาแล้ว มันจะออกพิจารณาของมันอย่างไร เวลาเราเดินกันด้วยเท้า เห็นไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ด้วยเท้า ด้วยก้น แต่เวลากิริยาของใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้ว ใจมันพิจารณาของมันนะ กิริยาของมัน มันก้าวเดินอย่างไร มันแยกแยะความรู้สึกนึกคิดอย่างไร มันพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมอย่างใด มันพิจารณาของมันอย่างไร ถ้ามันพิจารณาได้นะ ส่วนใหญ่เราทำ พอจิตมันสงบแล้ว พอสงบขึ้นมา พอมันพิจารณา มันพิจารณาของมันเป็นครั้งเป็นคราว แล้วก็ปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราว เราก็ว่า “สิ่งนั้นใช่.. สิ่งนั้นใช่...”

มันอ่อนแอเกินไป! มันอ่อนแอเกินไป! ถ้ากิเลสมันชำระได้ง่ายขนาดนี้ ฤๅษีชีไพรก็ทำได้ กิเลสมันชำระได้ง่ายๆ อย่างนี้หรือ ไอ้อย่างนี้มันกิเลสมันบังเงาไง เวลากิเลสมันบังเงา มันอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นความว่าง” เป็นความว่างมันก็เป็นอากาศ เป็นความว่างมันเป็นสุญญากาศ ดูสิ เขาจะไปสำรวจอวกาศกัน เขาจะออกจากแรงโน้มถ่วงแรงดึงดูดได้อย่างไร พอพ้นออกไป กี่ปีแสงกว่ามันจะไปถึงดาวอังคาร มันก็เป็นความว่าง! มันว่างอะไรของมัน มันเป็นอย่างนั้นหรือ? มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

มันจะว่างหรือไม่ว่างมันอยู่ที่ใจเรานี่ ใจเรามันว่างจริงหรือเปล่า ปากก็ว่ากันไป มันเป็นภาวะสังคม สังคมเขาเชิดชูกัน ก็ว่างๆ ว่างๆ มันก็นกแก้วนกขุนทองไง “ว่างๆ ว่างๆ”

ว่างอะไรของมึง? ว่างเป็นอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไร เพราะมันมักง่ายเกินไป ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ว่างนะ ถ้ามันจะมีคุณงามความดีของมัน มันต้องมีคุณงามความดีมาจากจิตของเราก่อน ถ้าจิตของเราดี จิตของเรามีคุณงามความดีขึ้นมา มันจะมีตัวตนของมัน มีตัวตน! มีหลักฐาน! ฐีติจิต! อวิชชาเกิดที่ไหน อวิชชาคือกิเลส มันเกิดที่ไหน มันตั้งอยู่บนอะไร แล้วเราจะไปลบล้างค่าสิ่งใด

คุณค่า ทรัพย์สมบัติของบัญชีใคร เวรกรรมของใคร มันก็เป็นของคนๆ นั้น เวรกรรมของใครนะ ดูสิ บุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกุศลของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นเวรเป็นกรรม เป็นผลการปฏิบัติของท่าน แล้วของเราอยู่ที่ไหน แล้วของเรามีอะไร ว่างๆ ว่างๆ นี่มันจำเขามาพูด มันนกแก้วนกขุนทอง จำขี้ปากเขามา แล้วมันเป็นความจริงอย่างไร ความจริงนี่ไม่รู้ ว่างๆ แต่ไม่รู้ นี่พูดกันแต่ว่าง แต่จะไม่ยอมให้ถามถึงเหตุผลเลย ถ้าเป็นสัจจะความจริง เขาต้องถามถึงเหตุผล “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า มรรค ผล นิพพานลอยมาจากฟ้า

สุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะปรินิพพาน สุภัททะเป็นคนที่มีปัญญามาก เป็นพราหมณ์ รู้ทฤษฎี รู้คำสอน รู้ต่างๆ ไปมหาศาลเลย แล้วตัวเองถือตัวถือตนว่าเป็นนักปราชญ์มาก เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานคืนนั้นไง

“ลัทธิศาสนาต่างๆ ก็บอกว่าของเขานิพพานๆ ทั้งนั้น เป็นพระอรหันต์หมดเลย”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล มันไม่มีรอยเท้าบนอากาศหรอก”

เห็นไหม “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

สิ่งที่เขาว่าว่างๆ ที่เขาทำกัน เหตุผลมันคืออะไร เหตุผลที่มานี่ทำอย่างใด ถ้าเหตุผลมันไม่มี! เหตุผลมันไม่มี! แล้วมาว่างๆ ว่างๆ เพราะเหตุใดล่ะ ว่างๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์มี นี่จำขี้ปากเขามาพูด แล้วสถานะทางสังคมก็พยายามเชิดหน้าชูตา ลอยหน้าลอยตากันไว้ ลอยหน้าลอยตาไว้ทั้งนั้น ว่ามีความสุขๆ สุขจริงหรือเปล่า นรกอเวจีมันเป็นที่หมาย

แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เหตุมันมาอย่างไรล่ะ ถ้าคนมีเหตุ เรามีเงินมีทอง เราทำธุรกิจทำการค้ามา เราหามาด้วยความสุจริต เราจะไปตื่นเต้นกับอะไร ข้าวของเงินทอง เราได้มาด้วยความสุจริต เราได้มาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำ เราได้มาด้วยความบริสุทธิ์ เราจะไปแคร์กับใคร ถามมาสิว่าเงินนี้ได้มาเพราะอะไร สิ่งนี้ได้มาเพราะอะไร ตอบได้หมด นี่พูดถึงข้าวของเงินทอง เขายังเจียระไน เขายังบอกได้ว่ามาจากไหน แล้วว่างๆ นี่มาจากไหน สิ่งนี้มันมาจากไหน

นี่ไง ถ้าเราจะทำเอาคุณงามความดี เอาความจริง มันจะอึดอัดขัดข้อง เพราะเราจะมาลดมาละไง คำว่า “มาลดมาละ” นะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขานะ ท่านเคยออกไปชุมชนใดบ้าง ถ้าท่านจะออกมากรุงเทพฯ ออกมาวัดบรมฯ ท่านก็มาเพื่อตรวจสอบในการประพฤติปฏิบัติของท่าน มาตรวจสอบทฤษฎี มาศึกษากับเจ้าคุณอุบาลี ท่านมาเพื่อความเจริญงอกงาม มาเพื่อตรวจสอบ แต่เวลาท่านปฏิบัติของท่าน ท่านอยู่ป่าอยู่เขา

อยู่ป่าอยู่เขานะ “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด” เวลาอยู่คนเดียว มันเกิดขึ้นทั้งนั้น มันเกิดมาหมดนะ เวลาอยู่คนเดียว กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะฟูขึ้นมา เหมือนเราเวลาเราอยู่ในชุมชน เราอบอุ่นหัวใจนะ แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว นาก็ต้องทำเอง แหล่งน้ำก็ต้องหาเอง ที่ซุกหัวนอนก็ต้องทำเองทั้งนั้น ทุกอย่างเราต้องหาของเราเอง เราถึงจะได้มีปัจจัยเครื่องอาศัย

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าอยู่คนเดียวนะ ทุกอย่างมันต้องมีการกระทำขึ้นมา แล้วทุกอย่างต้องทำเองหมด พอทุกอย่างมันต้องทำเอง อะไรมันเกิดขึ้นมาบ้างล่ะ ความวิตกกังวลเกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้น อยู่ป่าอยู่เขา มันเพื่อจะเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแสดงตน

เราจะมาลดมาละ ถ้าเราจะละมัน ละอะไร ละที่ไหน แล้วมันอยู่ไหน จะไปละมัน เราจะมาลด มาละ เห็นไหม “ลด” ลดจากความเห่อเหิม ลดจากความที่มันคุ้นชินกับสังคมโลก เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาอยู่ในสังคม อาศัยสังคมนั้นอยู่ แต่ก็เหยียบย่ำสังคมนั้นไป เวลาเราออกวิเวก ออกไปอยู่คนเดียวเหมือนนอแรด เห็นไหม สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น มันบีบคั้นมาทั้งนั้น เพราะเราจะมาลดมาละมัน พอจะมาลดมาละมัน มันก็ต้องแสดงตัว

เขาทำมาหากิน ข้าวของเงินทอง เขาได้สิ่งใดมา ได้ปัจจัยสิ่งใดมา เขามีเหตุมีผลของเขา นี่เราจะมาลดมาละ เราจะมาลดมาละที่ไหน เราจะลดละจากอะไร เวลาอยู่ในชุมชน เวลาอยู่ในสังฆะ อยู่ในสงฆ์ มันก็วิสาสะ อยู่กันไปด้วยความอบอุ่น อยู่กันไปอย่างนั้น อบอุ่นในความเป็นอยู่นะ แต่วัฏฏะไม่ได้ไปสะกิดมันเลย สิ่งที่อยู่ในหัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ได้ไปสะกิดมันเลย ถ้าจะสะกิดมัน ออกพรรษาเขาธุดงค์ ไปแบบนอแรด เวลามันออกไป มันแสดงตน ทุกอย่าง ดูสิ คนทำนาเขาต้องหว่านพืชหว่านผล เขาต้องทำของเขา ดูแลของเขา จิตใจของเรา เราออกไปแล้ว เราต้องดูแลของเราทั้งนั้น เราไม่มีที่พึ่งแล้วนะ เราไม่มีหมู่คณะเป็นที่วิสาสะแล้วนะ เราไม่มีใครจะคอยเจือจานดูแลเราแล้วนะ เราลืมสิ่งใด ทำสิ่งใดไว้ คนก็เก็บให้ ดูแลให้ ไม่มีแล้วนะ เราจะต้องดูแลเราเองแล้วนะ

นี่เพราะเราจะลดจะละ เราจึงจำกัดวงมัน พอจำกัดวงความรู้สึกนึกคิด มันก็แสดงตน มันก็ต่อต้านขึ้นมา เวลามันต่อต้านขึ้นมา เพราะเราจะลดจะละมัน เราถึงต้องเข้าไปแสวงหามัน เพื่อจะพิสูจน์ตรวจสอบมันว่ามันลดมันละอย่างไร มันดูแลอย่างไร จิตมันสงบ สงบอย่างไร ถ้าจิตไม่สงบ มันจะไปรู้จักตัวเองได้อย่างไร

เราบวชมา เราเป็นพระขึ้นมา อุปัชฌาย์เป็นคนให้ฉายามา เป็นคนยกเข้าหมู่มา อุปัชฌาย์ของเราเป็นใคร ทุกคนก็ต้องรู้ บวชตกฟากเมื่อไร เกิดเมื่อไร เป็นพระมาวินาทีเท่าไร รู้หมด นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่ามันจิตสงบ สงบอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดในหัวใจเรามันมีหลักฐานอย่างไร ถ้ามีหลักฐานของมัน เวลามันเห็นของมัน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

เราจะมาลด ลดความเห่อเหิม ลดความฟูความฟ่องของหัวใจ เราลดมันเพื่อให้มันเป็นปกติ แล้วเราจะละ เราจะละมัน เราจะไปละที่ไหน ดูสิ เวลาหมา สาดน้ำใส่มัน มันสะบัดขน น้ำออกจากตัวมันหมดเลย มันสลัดมันสะบัดตัวมัน เพื่อจะไม่ให้น้ำติดตัวมันไป นี่เหมือนกัน หัวใจที่มันจะสลัดกิเลสออกไป มันทำอย่างใด มันจะมาละน้ำบนหลังหมานั่น มันจะสลัดให้มันออกไปจากใจได้อย่างไร กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันจะละอย่างไร ถ้ามันจะละของมัน นี่เพราะเราตั้งใจ

เราบวชมาแล้ว เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องการลดละกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ฉะนั้นความเป็นอยู่มันเป็นแค่อาศัย สิ่งความเป็นอยู่มันเป็นเปลือกแค่อาศัยใช่ไหม เราอาศัยดำรงชีวิต ฉะนั้นการอาศัยดำรงชีวิต ถ้าคนหยาบ มันก็อาศัยดำรงชีวิต ปัจจัยเครื่องอาศัย การบิณฑบาต การดำรงชีวิต มันถือว่าสิ่งนี้เป็นคุณวิเศษ แต่ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ เราเอาสิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัย

บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตเป็นวัตร อุบาสก อุบาสิกา เขาอยากจะทำบุญกุศลของเขา เขามีข้าวปากหม้อ เขาใส่บาตรของเขา อย่างนี้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นสิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ การขับเคลื่อนไปของสังคมของชาวพุทธ ของบริษัทที่มันเคลื่อนไปในวัฏฏะของโลก ผลของวัฏฏะ ผลของการเกิด การกระทบกระทั่ง ความเป็นอยู่ของสังคม แต่หัวใจเรา เราเห็นคุณค่ามากกว่านั้น เราเห็นความเป็นอยู่นี้ เราอาศัยความเป็นอยู่นี้

เราเป็นพระสมบูรณ์โดยสมมุติสงฆ์ เราเป็นฆราวาส เรามีสิทธิ เราเป็นชาวพุทธ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงบวชเป็นพระ การบวชเป็นพระ บวชมา เราเลือกบวชในกรรมฐาน เลือกบวชมาเพื่อชำระกิเลส เพื่อจะให้มันเบาบางลง เพื่อมาลดมาละกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน เรามีเป้าหมายว่าถ้าเราบวชมาแล้ว อย่างน้อยเราต้องทำความสงบของใจ ให้ใจมันได้สงบระงับจากอารมณ์ปกติของโลก อารมณ์ปกติของโลกคือสัญญาอารมณ์

สัญญา ความรู้สึก ความนึกคิด ความเป็นไปของนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม แล้วเราศึกษาปฏิบัติธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เรากำหนดพุทโธๆๆ สิ่งนี้เป็นนามธรรม กำหนดพุทโธ เอานามธรรมกำหนดพุทธานุสติ กำหนดพุทโธๆๆ เอานามธรรมนั้นเกาะพุทโธไว้ พยายามทำความสงบของใจ เรามีเป้าหมาย

ฉะนั้นการดำรงชีวิตโดยปัจจัยเครื่องอาศัยมันเลยเป็นของเล็กน้อยไง เป็นการดำรงชีวิต เป็นเครื่องอยู่เท่านั้น เป็นเครื่องอยู่เพื่อมีเป้าหมายที่เราจะทำใจของเราสงบ ทำใจของเราเพื่อจะรื้อค้นเข้าไป เพื่อจะลดจะละมัน เพื่อจะลดจะละสิ่งที่มันปักเสียบมาอยู่ในหัวใจ ถ้าเราจะลดจะละการปักเสียบในหัวใจ มันต้องมีการกระทำ ในธัมมจักฯ กิจญาณ สัจญาณ มันจะมีกิจญาณ การกระทำของใจ

คนเขาก้าวเดินกันไปด้วยเท้า เราก้าวเดินไปด้วยกิริยาของใจ ใจมันจะพัฒนาการของมัน มันมีการก้าวเดิน มีการเปลี่ยนแปลง มีวิวัฒนาการของมัน เพื่อเปลี่ยนแปลงของมัน มันมีที่มาที่ไป ถ้ามีที่มาที่ไป นี่ไงโลกเขาหาเงินหาทอง เขายังรู้ได้ว่าเงินทองนี่เขาได้มาอย่างไร คนทำหน้าที่การงานเขาก็ได้เงินทองมาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำ ถึงได้เงินเดือนเขามา คนทำธุรกิจการค้า เขาก็มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน เขาถึงได้กำไรส่วนต่างนั้นมา คนที่มีคนเจือจาน เขาให้เงินมาเพื่อประโยชน์ต่อเพื่อไปทำต้นทุนการค้า เขาก็ได้สิ่งนั้นมา หัวใจเราประพฤติปฏิบัติมา เราได้ผลประโยชน์จากสิ่งใดมา มันมาจากไหน มันมีที่มาอย่างไร นี่ไงเราถึงต้องตั้งสติไง ตั้งสติ แล้วมันจะเกิดขึ้นมาจากใจของเรา

พอใจมันสงบ เราเห็นคุณค่า เวลาทุกข์ หัวทิ่มบ่อนะ เวลาทุกข์เวลายาก สิ่งที่เป็นความทุกข์ มันมีโดยธรรมชาติ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่จะสงบระงับนี่สิ เวลาสงบระงับนะ คนเราโดยธรรมชาติของกิเลส กิเลสนี่นะมันฉลาดนัก มันอยู่หลังความรู้สึกความนึกคิดของเรา มันข่มขี่หัวใจนี้ให้อยู่ในอำนาจของมัน แต่พอหัวใจนี้ โดยความข่มขี่ของมัน ด้วยความทุกข์ยาก มันก็ผ่อนให้พอได้หายใจชั่วครั้งชั่วคราว ทุกข์นัก สาหัสนัก เดี๋ยวมันก็ผ่อนให้ได้ยิ้มให้ได้หัวเราะ แล้วมันก็จะขี่คอไปอีก แล้วพอทุกข์ยากขนาดไหน มันก็ผ่อนให้เราพอได้หายใจเท่านั้น สิ่งนี้เพราะมันต้องการรักษาใจ รักษาภวาสวะ รักษาภพ ที่มันข่มขี่อยู่นี้ ให้เป็นที่อยู่อาศัยของมันตลอดไป

แต่เวลาเราบวชมาเป็นพระ เรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อในปริยัติ ปริยัติคือการศึกษา ศึกษาคือวิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมารตั้งแต่วันวิสาขบูชา “มารเอย.. เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เยาะเย้ยมันมาแล้ว แต่เราก็จำขี้ปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ว่าจะเยาะเย้ยมันๆ มันขี่คออยู่ จะเอาอะไรไปเยาะเย้ยมัน เพราะที่เราศึกษานี้ เป็นปริยัติ มันยังไม่เป็นความจริงของเรา มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่เป็นความจริงของเรา

แต่เพราะเราเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชเป็นพระ เป็นนักพรต เป็นนักรบ เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ เราถึงจะต้องมีกติกากับเราไง สิ่งใดที่มันขัดอกขัดใจ สิ่งใดที่มันไม่พอใจ นั่นล่ะมันขัดกับกิเลส เพราะกิเลสมันไม่พอใจ ดูสิ สวะในน้ำ เวลามันขวางอยู่นะ น้ำไหลไม่สะดวกเลย พวกสวะ พวกเศษไม้ต่างๆ มันไปขวางทางน้ำ พอน้ำมันล้น มันกัดเซาะนะ สรรพสิ่งมันทำลายไปหมดเลย นี้กิเลสมันขวางใจอยู่ สิ่งใดที่มันขัดขวางอยู่ มันท่วมท้นในหัวใจ เราจะจัดการอย่างใด เราจะแก้ไขของเราอย่างใด เราจะต้องแก้ไขนะ สวะนะ ถ้ามีคนไปเอามันออก น้ำนั้นก็จะมีทางไปได้สะดวกขึ้น

แต่ใจของเรา ใครจะเอาออกให้ล่ะ เรามีสติปัญญาไหม เรามีสติปัญญาแค่ใด ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะเห็นโทษของมัน ความคิดอย่างนี้ก็ผิด ความคิดอย่างนี้ก็ไม่ดี ความที่มันเจ็บปวดแสบร้อน มันทำไมถึงเจ็บปวดแสบร้อน แล้วความเจ็บปวดแสบร้อนมันเป็นที่เขาหรือเป็นที่เราล่ะมันเป็นที่เขาหรือเป็นที่เรา? ใช่ เขาอาจเป็นต้นเหตุ แต่เวลามันเกิด มันเกิดที่ไหนล่ะ มันเกิดที่ใจของเรา เราโง่หรือเราฉลาดล่ะ เราเผาเราเองไง มันเกิดขึ้นที่ใจของเรา มันก็เผาเราเอง แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มันทัน พอมันทัน มันดับที่ใจเรานะ เราจะเห็น เห็นว่าสิ่งที่ว่าเหตุเกิดจากเขา มันเป็นคุณทันที เพราะถ้าไม่มีเขา เราจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ แล้วเราจะไม่มีสติปัญญาไล่ตามความคิดเราอย่างนี้ เพราะมันมีเหตุกระทบอย่างนั้น แล้วเรามีสติปัญญาไล่ตามความคิดของเราไป แล้วมันดับลงที่เรา ถ้ามันดับลงที่เรา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา

ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา นี่ไงเวลาข้าวของเงินทองเขามีที่มาที่ไป ความฟุ้งซ่าน ความฝังใจ ความกระทบกระเทือนในหัวใจ แล้วความสงบระงับ มันมีอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเป็นคนกระทำ ถ้าเราทำสิ่งนี้ขึ้นมา เราก็ได้ โลกเขาเวลาเขาทำธุรกิจการค้ากัน เขาได้กำไรของเขา เขาจะชื่นใจของเขาว่าเขาทำแล้วเขาได้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างนั้นๆๆ เวลาเราภาวนาขึ้นมา ถ้าจิตเราสงบล่ะ จิตเราระงับได้ล่ะ นี่มันเป็นความมหัศจรรย์ไหม มันเกิดขึ้นหรือยัง นี่ไงสิ่งว่าจะสงบระงับ จะละกิเลส มันละกันที่ไหน มันละกันอย่างใด

แต่ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน มันจะเริ่มควบคุม เริ่มมีความเห็น เริ่มชำระมัน เริ่มแก้ไขมัน ถ้าเราแก้ไข นี่ไงการแก้ไข กิจญาณ การกระทำของใจ เวลากิริยามันก้าวไป มรรคญาณ เวลาธรรมจักรมันหมุน เวลาปัญญามันหมุน มันหมุนอย่างไร ทุกคนงงนะ ปัญญาหมุนติ้วๆ มันหมุนอย่างไร แล้วหมุนอย่างหยาบๆ นี่แค่ทัน ยังไม่ได้หมุนเลย แค่ทันความคิด มันก็หยุดได้หมดล่ะ แล้วถ้าพอทันความคิด มันตั้งตัวมันขึ้นมาได้ นี่ความชำนาญของมัน ทำจนมีความสงบระงับ

เวลาสงบระงับบ่อยครั้งๆ เข้าจนเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตมีกำลัง จิตวิปัสสนาไป เวลาปัญญามันหมุน มันหมุนที่ไหน? มันหมุนที่ไหน? สมองก็เป็นสมองนะ ความคิดน่ะเดี๋ยวก็ลืม โน้ตไว้เลยนะ โน้ตไว้ก็ยังลืม ให้คนอื่นเตือนก็ยังลืม แต่ถ้าเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงขึ้นมา มันเอาอะไรมาลืม เวลามันหมุนขึ้นไป มันชำระของมัน ตัดทอนไป.. ตัดทอนไป.. กิเลสจะเบาบางลงเรื่อยๆ กิเลสมันจะเบาบางลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเราได้ชนะสักหนหนึ่ง ถ้าเราไม่เคยชนะเลยนะ กิเลสมันจะข่มขี่มาเรื่อยๆ

“น้ำ” ถ้ามันมีรสเค็ม น้ำมันเริ่มน้อยลงๆ รสเค็มจะเข้มข้นขึ้น “น้ำ” ถ้าเราเติมน้ำมากๆ รสเค็มในน้ำนั้นจะเจือจางลง เจือจางลงบ่อยๆ จนถ้ามีน้ำมาก จนน้ำกร่อย จนน้ำเป็นน้ำจืดไปเลย เพราะน้ำมันมีจำนวนมากกว่า นี่เหมือนกัน เวลากิเลส เวลามันเข้มข้นขึ้นๆ เพราะเราระเหิดน้ำ เราใช้สัมมาสมาธิเข้มงวดเข้าไป เราจะไปพลิกแพลง แล้วเราจะไปทำลายมัน เราจะไปดูมัน เราจะละ

เราลดมาแล้ว “ลด” มาจนจิตใจมันตั้งมั่น แล้วเราจะ “ละ” เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำเพื่อประโยชน์ของเรา คุณงามความดีอย่างนี้มันเป็นเป้าหมายของเรา ฉะนั้นความเป็นอยู่ของเราในการบวชเป็นพระ ชีวิตความเป็นอยู่ พระก็คือพระ พระบวชมาแล้ว ๔ แสนกว่าองค์ พระก็คือพระ แล้วใครรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนมีคุณธรรมในหัวใจ รู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนที่เรามั่นใจได้ว่าเป็นพระ

เราเป็นสมมุติสงฆ์ เวลาเราจะลงอุโบสถกัน เราต้องเป็นพระโดยสมบูรณ์ เพราะถ้าเราไม่เป็นพระโดยสมบูรณ์ เวลาลงสังฆกรรม มันเป็นโมฆะ สังคมสงฆ์ สงฆ์ต้องมีค่าเท่ากัน ฉะนั้นเวลาสังคมสงฆ์เป็นฉันทามติ ค้านไม่ได้ จะค้านโดยเสียงเดียวไม่ได้ สังฆกรรมต้องเป็นฉันทามติ ต้องมีความเห็นพร้อมหมด ฉะนั้นในฉันทามตินี้ ถ้าสงฆ์ไม่สมบูรณ์ เวรกรรมมันเกิดตรงนั้นนะ สังฆะนั้นเป็นโมฆียะ เป็นโมฆะ มันไม่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แต่ถ้าสังฆะนั้น สมมุติสงฆ์ สงฆ์นั้นทบทวนปาฏิโมกข์ ทบทวนคำสั่งสอน ทบทวนธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทบทวนให้เราตื่นตัว พอเราตื่นตัวขึ้นมา พอเราตื่นตัว...สาธุ! สาธุ! เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสังฆะ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสังคมนั้น

เราจะลดจะละ เราต้องมีสติ สิ่งใดหน้าที่การงาน ข้อวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้น สังคมโลกเขาก็ต้องอาศัยเหมือนกัน แต่เขาอาศัยแบบโลก เราเป็นพระ เราก็อาศัยปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่อาศัยแบบพระ แบบพระเพราะพระมีธรรมวินัย ตั้งแต่บวช อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา ปฏิญาณตนว่าเราขอบวช เราอยากบวชเป็นพระ เราปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระ พอปฏิญาณตนขึ้นมา สิ่งนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยแบบพระ ถ้าแบบพระแล้ว เรายังมีเป้าหมายต่อไป เป้าหมายต่อไปว่าเราอยากจะพ้นจากทุกข์

แล้วชีวิตนี้ ถ้าลมหายใจยังไม่ขาด ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้ามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มีสติเกาะลมหายใจ อานาปานสติ คนๆ นั้นยังมีโอกาส คนที่ไม่มีโอกาสคือคนที่หมดลมหายใจ แต่คนถ้ายังมีโอกาส ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่นี่ จิตมันรับรู้นะ เพราะมีลมหายใจเข้ามีลมหายใจออก มันก็มีชีวะ-มีจิต-มีผู้รับรู้-มีภวาสวะ-มีภพ ยังอยู่กับเรา แต่ถ้าลมหายใจมันขาด จิตนี้ออกจากร่าง ภวาสวะไปแล้ว สิ่งที่เหลือก็ธาตุ ๔ เป็นเศษเหลือทิ้งของโลกเขา โลกเขามีอยู่แล้ว

สัตว์.. เวลามันตายนะ เนื้อหนังมังสาเป็นประโยชน์กับโลก

มนุษย์.. เวลาตายนะ ถ้ามีคุณธรรม คนเขาจะเอาไปสรรเสริญ

แต่ถ้าไม่มีคุณธรรมนะ สิ่งนั้นโลกเขาไม่ต้องการ เขายังกลัวผีกลัวสาง เขาจะหนีหายไปไกล ฉะนั้น ถ้ายังมีชีวะ ยังมีชีวิต มีลมหายใจเข้าอยู่ เรายังมีโอกาส

คนเรามีความผิดพลาดมาทั้งนั้น ความผิดพลาดอันนั้นเป็นอันหนึ่ง แต่ในปัจจุบันนี้ เราจะมาฝึกหัด คนเรามีทั้งอ่อนแอร่างกายและจิตใจ คนที่ร่างกายอ่อนแอก็ฟื้นฟูขึ้นมาทางการแพทย์ แต่คนที่อ่อนแอทางจิตใจ เราพยายามตั้งสติ มาฝึกฝนอยู่นี่ จะวิกฤต จะลำบาก จะทุกข์ จะยาก (ในความเห็นของตนนะ.. ในความเห็นของคน)

คน ถ้าเคยสุขสบายมา มาอยู่ในธุดงควัตร มันก็ว่าทุกข์ยาก คนเรานะ ถ้าเขาฝึกฝนเขามา เขาเตรียมการของเขามา พอมาอยู่ในธุดงควัตร มันเห็นว่ามนุษย์ใช้แค่นี้เองหรือ.. มนุษย์กินมื้อเดียว.. มนุษย์อยู่กันได้แค่นี้ แล้วจะไปหาอะไรมาพะรุงพะรังทำไม นี่เวลาคนมีปัญญานะ มันตั้งสติของมัน มันจะเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งว่ามนุษย์มีแค่ปัจจัยนี้ก็อยู่ได้แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ได้เกินมา มันเป็นสมบัติของโลก

มนุษย์.. ถ้ามีจิตใจที่เป็นธรรม สิ่งนั้นเราได้มา เราเจือจานกับโลก มันเป็นประโยชน์กว่าเราอีก เพราะเราใช้สอยเพียงเท่านี้เอง แต่ถ้ามันอ่อนแอ สิ่งใดก็ลำบากลำบน ทุกอย่างจะอำนวยความสะดวก มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไป ถ้าจิตใจเข้มแข็ง สิ่งใดที่เป็นความทุกข์ความยาก มันมองเห็นเป็นเรื่องปกติหมดเลย ถ้าจิตใจอ่อนแอ เรื่องเล็กน้อยมันก็ว่าทุกข์ยากไปหมดเลย

เราจะมาลดมาละ เราถึงตั้งสติ แล้วรักษาใจเรา มาเพื่อปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติ เอาจริงเอาจัง เวลามีนะ เวลาเราคุ้นเคยกับอย่างนี้ วัดกรรมฐาน วัดของเรา เราพยายามจะให้มีเวลาในการประพฤติปฏิบัติ

พอเราปฏิบัติไปแล้ว เราก็บอกว่า “แหม.. เวลามันเยอะ เวลามันต่างๆ” จะฆ่าเวลาทิ้ง หาอะไรทำฆ่าเวลาไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้าไปวัดที่เขาใช้งานนะ เขาเอาพระเอาเณรใช้งาน ทำงานกันทั้งวันๆ เลย ตอนนั้นก็ “แหม.. อยากปฏิบัติ อยากหาวัดที่เขาปฏิบัติ วัดที่เขาไม่มีงานทำ”

แต่พอให้ปฏิบัติ เวลามันมาก เพราะเราคุมกิเลสเราไม่ได้ “แหม.. แหม.. ต้องฆ่าเวลาๆ หาอะไรทำฆ่าเวลา หาอะไรฆ่าเวลา” แต่คนที่ไปอยู่ในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเขาพาออกทางโลกหมดนะ “แหม.. มันจะหาเวลาที่ไหนปฏิบัตินะ มันไม่สมดุลเลย!”

กิเลสมันเป็นอย่างนี้ กิเลสมันผัดวันประกันพรุ่ง กิเลสมันอ้างเล่ห์ อ้างไปทุกอย่างเลย มันจะหาแต่อนาคตที่มันคาดหมาย มันไม่ทำปัจจุบันนี้ให้ดี มันไม่ทำปัจจุบัน โอกาสของมันที่มันมีอยู่แล้ว เพื่อประโยชน์กับมัน

นี้เพราะเราจะมาลดมาละ ตั้งใจนะ ตั้งสติ เพราะว่าเดี๋ยวออกพรรษาแล้ว ผู้ที่อยู่ก็อยู่ไป ผู้ที่มีความจำเป็น เขาก็ต้องสึกหาลาเพศไป อันนั้นมันเป็นวาสนาของคน ฉะนั้นเวลาที่มีอยู่ ให้ทุกคนตั้งใจ เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์ของตน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของจิต ให้จิตมีประสบการณ์ของมัน เอาสิ่งนี้เป็นผลประโยชน์กับจิตนั้น เพื่อประโยชน์กับจิตดวงนั้น เอวัง